วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 15

24 เมษายน 2561




 วันนี้อาจารย์ให้จับกลุ่มกัน 3 กลุ่ม แล้วคิดเมนูอาหารขึ้นมาโดยประกอบไปด้วย อาหารจานหลักและขนมหวาน กลุ่มของเราได้ทำด้วยกัน 3 เมนู คือ 

" ข้าวผัดทูน่า แกงจืดเต้าหู้ ทับทิมกรอบ "



" ข้าวผัดไส้กรอก  กล้วยบวชชี "




" ข้าวผัดแฮม  บัวลอย " 




>> สำหรับการทำอาหารของอาจารย์คือการทำบัวลอย << 







วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 14

17 เมษายน 2561

อาจารย์ให้จับกลุ่มเลือก ๘ คุณธรรมพื้นฐาน กลุ่มของพวกเราเลือก " ขยัน " อาจารย์ให้หาวิดีโอเกี่ยวกับสิ่งที่เราเลือกแล้วมานำเสนอจากนั้นแต่ละกลุ่มได้ออกมาเปิดวิดีโอเสร็จ อาจารย์ก็สอนเรื่อง " อาหารและโภชนาการสำหรับเด็ก "

 

>> อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์นับตั้งแต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อเริ่มมีชีวิตทารกจะได้รับอาหารผ่านทางสายรกและใช้ในการเจริญเติบโตตลอดมา <<

>> อาหารที่เรากินเข้าไปจะส่งผลต่อร่างกายของเรา เช่น เรากินอาหารที่มีคุณค่าประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล ผัก ผลไม้ ในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เราก็จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างกระฉับกระเฉง มีพลังที่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้ <<

หลักของโภชนาการได้จัดแบ่งอาหารเป็นหมู่ได้ 5 หมู่ ได้แก่

อาหารหมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง ช่วยสร้างเสริมและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ

อาหารหมู่ที่ 2 ข้าว หัวเผือก หัวมัน แป้ง น้ำตาล ให้พลังงานความอบอุ่น

อาหารหมู่ที่ 3 ผักใบเขียวและพืชผักต่างๆให้วิตามิน เกลือแร่และเส้นใย

อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆให้วิตามินและเกลือแร่

อาหารหมู่ที่ 5 ไขมัน น้ำมันจากพืชและสัตว์ ให้พลังงานและความอบอุ่น

ข้อปฏิบัติในการจัดเตรียมอาหารของเด็กในวัยทารก

1. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนจับต้องอาหาร

2. ใช้ภาชนะที่สะอาด โดยจัดเก็บอย่างมิดชิดไม่ให้แมลงวันหรือแมลงอื่นๆไต่ตอม

3. อาหารที่ปรุงทุกชนิดต้องล้างให้สะอาด ภาชนะที่ใช้ในการหุงต้มและประกอบอาหาร เช่น หม้อ กระทะ จาน ชาม มีด ต้องล้างให้สะอาดก่อนและหลังใช้ทุกครั้งแยกภาชนะของเด็กและผู้ใหญ่รวมไปถึงมือของผู้ประกอบอาหารก็ต้องสะอาดด้วย

4. อาหารและน้ำจะต้องสุกทั่วถึงและทิ้งระยะเวลาให้อุ่นลงไม่ร้อนจัดเวลานำมาป้อนเด็ก หากเด็กกินเหลือไม่ควรเก็บไว้

5. อาหารของเด็กจะต้องมีรสธรรมชาติ ไม่ควรใส่สารปรุงแต่งอาหารให้มีรสชาติเกินธรรมชาติ เช่น ไม่เค็ม หวาน เปรี้ยวเกินไป หรือไม่ควรใส่ผงชูรส

6. ต้มหรือตุ๋นข้าวจนสุกและ แล้วนำมาบดให้ละเอียดโดยใช้กระชอนหรือใส่ในผ้าขาวบางห่อแล้วบีบรูดออกหรือบดด้วยช้อนก็ได้

7. สับหมู หั่นผักให้ละเอียดก่อนนำไปหุงต้ม ส่วนตับให้ต้มให้สุกแล้วต่อยยีให้ละเอียด

8. ให้กินเนื้อปลาสุกโดยการย่างหรือนึ่ง หรือต้ม ไม่ควรให้กินหนังปลา

9. ให้กินน้ำแกงจืดผสมกับข้าว โดยใช้แกงจืดหรือน้ำผัดผักแต่ต้องไม่เค็ม

10. เด็กที่มีอายุ 7 เดือนแล้วกินถั่วเมล็ดแห้งได้ อาจน้ำไปหุงต้มปนไปกับข้าวหรือจะนำไปทำเป็นขนมผสมกับน้ำตาลและนม

ข้อควรคำนึงในการให้อาหารแก่เด็กทารก

1. อย่าให้อาหารอื่นใดนอกจากนมแม่ในระยะ 4 เดือนแรกเพราะจะทำให้เด็กทารกรับประโยชน์จากนมแม่ไม่เต็มที่

2. เพื่อเป็นการหัดให้เด็กคุ้นเคย ควรเริ่มให้อาหารอื่นนอกจากนมแม่ตามที่แนะนำไว้

3. เริ่มให้อาหารทีละอย่าง ทีละน้อยๆ

4. อาหารทุกชนิดควรใช้ช้อนเล็กๆป้อนเพราะต้องการให้เด็กรู้จักกินอาหารจากช้อน

5. ควรทิ้งระยะในการที่จะเริ่มอาหารใหม่แต่ละชนิดเพื่อดูการยอมรับของเด็กทารกและเพื่อสังเกตดูว่าทารกแพ้อาหารหรือไม่

6. ควรจัดให้กินอาหารของเหลวก่อน

7. ให้กินน้ำต้มสุกหลังอาหารในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ต่างๆได้สมบูรณ์และช่วยในการขับถ่ายของเสียรวมทั้งทำความสะอาดช่องปากของเด็กทารก

8.เมื่อเด็กทารกเริ่มมีฟันขึ้น ให้กินอาหารสับละเอียดไม่ต้องบดเพื่อฝึกให้เด็กหัดเคี้ยว

9. ให้อาหารที่สดใหม่และทำสุกใหม่ๆ

10. อย่าบังคับเด็กกินเมื่อเด็กไม่ต้องการ ให้พยายามลองใหม่วันถัดไป

11. อย่าให้เด็กกินอาหารเค็มจัดและหวานจัด

การจัดรายการอาหารและการจัดอาหารสำหรับเด็ก 

1. อาหารหลัก เป็นอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการในการเสริมสร้างความเจริญเติบโต มีคุณค่าทางอาหารมาก เพื่อความสะดวก ของผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรจัดเป็นรูปแบบอาหารจานเดียวที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งคุณค่าทางโภชนาการและเด็กสะดวกในการกินอาหารจานเดียว

2.อาหารว่าง เป็นอาหารที่มิใช่อาหารคาวหรืออาหารหวาน แต่เมื่อเด็กกินแล้วอิ่มใช้สำหรับเสริมให้แก่เด็กก่อนกินอาหารกลางวันเวลา 10.00 น. เพราะเด็กบางคนอาจกินอาหารเข้ามาน้อยหรือไม่ได้กินเลยและก่อนกลับบ้านเวลา 14.00 น. เพื่อเสริมหากเด็กกินข้าวเที่ยงน้อยหรือมิให้ท้องว่างไปก่อนกินอาหารเย็น ควรเป็นอาหารที่เตรียมง่าย

3. อาหารหวาน เป็นอาหารที่สามารถเสริมคุณค่าของอาหารหลักได้จะมีรสชาติหวานน้อยไปจนหวานมาก ผู้เลี้ยงดูเด็กไม่ควรเลือกอาหารที่ให้ความหวานแต่เพียงอย่างเดียวควรเลือกขนมหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วย



วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 13

10 เมษายน 2561




วันนี้อาจารย์สอนเรื่อง " การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมในเด็กปฐมวัย "



ความหมายของคำว่า " จริยธรรม " 

" จริยธรรม " คือ หลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะที่ควร

" จริยธรรม "  คือ หลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับนับถือ

ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก

  เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อมๆกับความสามารถในการคิดเชิงเหตุโดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับก่อนเกณฑ์  ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัยจะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือระดับก่อนกฎเกณฑ์เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเอง

ทฤษฎีการเรียนรู้จริยธรรมด้วยการกระทำตามแนวคิดของสกินเนอร์


    นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมเป็นผู้เสนอทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิม

ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดของแบนดูรา

    นักจิตวิทยาสังคม อธิบายว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้โดยการสังเกตจากตัวแบบ ทั้งตัวแบบในชีวิตจริงหรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์ทั้งนี้ตัวแบบจะทำหน้าที่ทั้งสร้างหรือพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรมและทำหน้าที่ในการระงับ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 

๘ คุณธรรมพื้นฐาน

1.ขยัน

2.ประหยัด

3.ซื่อสัตย์

4.มีวินัย

5.สุภาพ

6.สะอาด

7.สามัคคี

8.มีน้ำใจ


 











วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 12

3 เมษายน 2561

วันนี้อาจารย์ได้พาไปเข้าร่วมชมงานนิทรรศการ ๑๒๕ ปี อัยการไทย 



ไปนั่งฟังบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายอัยการ




หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้พาไปชมสุนัขตำรวจมีการจัดการแสดงความสามารถของสุนัขโดยฟังคำสั่งจากตำรวจแล้วก็ให้หายาเสพติดตามจุดที่ได้ซ่อนไว้



วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 11

27 มีนาคม 2561

อาจารย์ได้ให้จับกลุ่มไปสัมภาษณ์ครูปฐมวัยโดยใช้คำถามเรื่อง บทบาทหน้าที่ของครูปฐมวัยกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยที่อาจารย์จะกำหนดหัวข้อมาให้ 5 หัวข้อ ดังนี้

1.บทบาทหน้าที่ของครูปฐมวัยที่ต้องทำในแต่ละวันมีอะไรบ้าง

2. ท่านมีหลักในการอบรมเลี้ยงดู การดูแลสุขภาพอนามัย โภชนาการเด็กปฐมวัยของท่านอย่างไร

3. ท่านมีเทคนิควิธีหรือรูปแบบกิจกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4 ด้าน อย่างไร

4. ในการจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัย ท่านมีการส่งเสริมหรือปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมใดให้แก่เด็กบ้าง อย่างไร

5. ถ้าท่านมีปัญหาในการอบรมเลี้ยงดูหรือส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยบ้างหรือไม่ ถ้ามีปัญหาอะไรบ้างที่เป็นปัญหาและท่านมีแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆนั้นอย่างไร






วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 10

20 มีนาคม 2561




วันนี้อาจารย์ได้สอนเรื่อง " แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ "



ความหมายของสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อมอาจแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สิ่งแวดล้อมภายในบุคคล : การทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร  ระบบขับถ่าย  ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

2. สิ่งแวดล้อมภายนอก :  สิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกกายของมนุษย์ เช่น วัตถุสิ่งของ คน พืช สัตว์ กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดจากคนและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคม

ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม : เด็กได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักบทบาทต่างๆในสังคมทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ไปพร้อมๆกันกระบวนการของการอบรมให้คนเป็นสมาชิกของสังคมนั้นจะขึ้นอยู่กับเจตคติ ความคาดหวัง และค่านิยมของสังคมที่คนๆนั้นเกี่ยวข้องด้วยเนื่องจากบทบาทที่แสดงอยู่เปลี่ยนไปก็ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยมีดังนี้

1. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน

2. ประสบการณ์ที่ได้จากการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว

3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากสัมพันธภาพทางสังคม

4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่วัยเด็ก

สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งจัดเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางกาย

2. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม

3. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา

การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาเด็กปฐมวัย

1. การจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน : เป็นการจัดวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่มีลักษณะ และคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการกระทำกิจกรรมภายในอาคาร และภายในห้องเรียน

2. การจัดสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียน : ครูผู้จัดจะต้องพิถีพิถันในการพิจารณาวางแผนอย่างดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน สอดคล้องและเสริมประสบการณ์โดยใช้พื้นที่นอกห้องเรียนเป็น 2 ส่วน คือ 

- สนาม

- สวนในโรงเรียน

การจัดสภาพแวดล้อม

1. สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนต้องปลอดภัย สะอาด ดึงดูดใจ และกว้างขวางพอกับสนามเด็กเล่น

2. พื้นที่จัดกิจกรรมต้องกำหนดให้ชัดเจนเด็กต้องมีพื้นที่ที่สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กๆหรือกลุ่มใหญ่

3. พื้นที่สำหรับเด็กต้องจัดให้สะดวกสำหรับทำกิจกรรมต่างๆอาจจัดเป็นกลุ่มเล็กหรือรายบุคคล

4. สีที่ใช้ทาห้องเรียนและอาคารควรใช้สีที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เป็นสีอ่อนเย็น เช่น สีเขียว ( ก้านมะลิ ) สีฟ้า ( เทอร์ควอยช์ )  สีเหลือง ( อ่อน ) เป็นต้น

5. สื่อหรืออุปกรณ์ต้องเหมาะสมกับวัยของเด็กมีปริมาณเพียงพอ มีหลากหลาย และมีความทนทาน

6. จัดหาที่ให้เด็กได้เก็บของใช้ส่วนตัวเป็นสัดส่วนชัดเจน

7. ต้องจัดมุมสงบไว้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร

8. สภาพแวดล้อมควรมีส่วนที่อ่อนนุ่มบ้าง เช่น พรม เบาะ สนามหญ้า

9. ใช้วัสดุดูดเสียงเพื่อลดเสียงดังเพราะเสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เด็กเหนื่อยและเครียดได้

10. พื้นที่นอกอาคารควรมีพื้นผิวหลายประเภท

11. ห้องน้ำ ห้องส้วม ควรจัดอย่างเหมาะสมกับตัวเด็กและถูกสุขลักษณะ

12. สภาพของห้องและบริเวณอาคารควรจัดให้ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ

13. เครื่องเล่นสนามต้องมีความปลอดภัย

14. ขยะและน้ำโสโครก มีกำจัดขยะทุกวันหรือเป็นประจำ

15. สถานที่เตรียมและปรุงอาหารทำด้วยวัสดุถาวร แข็งแรง

16. สถานที่รับประทานอาหาร ตัวอาคารไม่อับทึบ ไม่มีหยาบไย่ มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นที่ทำด้วยวัสดุแข็ง


วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 9

13 มีนาคม 2561




วันอาจารย์ได้ทำการสอบกลางภาค อาจารย์ให้เวลาเตรียมตัวในการสอบ 5 นาที ข้อสอบของอาจารย์เป็นข้อเขียนจำนวน 4 ข้อด้วยกัน และอาจารย์จะเริ่มสอบตอนเวลา 9.30 - 11.30 น.




เพื่อนๆเตรียมตัวทำข้อสอบ พอถึงเวลาแล้วอาจารย์ก็ให้เริ่มทำข้อสอบได้


ครั้งที่ 15

24 เมษายน 2561  วันนี้อาจารย์ให้จับกลุ่มกัน 3 กลุ่ม แล้วคิดเมนูอาหารขึ้นมาโดยประกอบไปด้วย อาหารจานหลักและขนมหวาน กลุ่มข...